Acerola เป็นผลไม้เมืองร้อนที่ทั่วโลกยอมรับว่า เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ คือ วิตามินซี มีโปรตีนและแร่ธาตุสูงโดยเฉพาะ เหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม และมีไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีปริมาณของไขมันอิ่มตัว และโซเดียมต่ำ ไม่มีคลอเลสเตอรอล และจากผลการวิจัยพบว่า อะเซโรลา เชอร์รี่ มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าที่พบในส้มถึง 30-80 เท่า และยังประกอบไปด้วย วิตามินเอ, วิตามินบี 1, วิตามินบี 2 และวิตามินบี 3
นอกจากนี้ อะเซโรลาเชอร์รี่ ช่วยชะลอการย่อยคาร์โบไฮเดรต และการดูดซึมกลูโคส การย่อยคาร์โบไฮเดรตนั้นจำเป็นต้องใช้เอนไซม์จากตับอ่อนและลำไส้เล็ก เพื่อย่อยน้ำตาลโมเลกุลคู่ให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และให้ร่างกายจะดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ซึ่งหากสามารถทำการชะลอกระบวนการดูดซึมน้ำตาลได้ช้าลง ก็จะส่งผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการทำการทดลองกับหนูทดลองที่เป็นเบาหวาน พบว่าสามารถช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสได้
ปัจจุบัน อะเซโรลาเชอร์รี่ จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงอาหารเสริมอีกด้วย
อะเซโรลาเชอร์รี่มีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อผิวพรรณของผู้บริโภค โดยสรุปได้ 11 ข้อ ดังต่อไปนี้
เนื่องจากอะเซโรลาเชอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง จึงช่วยเร่งการสร้างเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง จึงทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัยและทำให้ผิวยังคงกระชับและยืดหยุ่นอยู่เสมอ จากงานวิจัยหนึ่งที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร American Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่มีอายุเกิน 40 ปี และบริโภควิตามินซีปริมาณสูงในการรับประทานอาหารทุกวันจะมีโอกาสเกิดรอยเหี่ยวย่นใบหน้าได้น้อยกว่าผู้หญิงอายุเท่ากันที่บริโภควิตามินซีในปริมาณที่น้อยกว่า นักกำหนดอาหาร โจ ทราเวอร์ (Jo Travers) กล่าวว่า วิตามินซีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการก่อตัวของคอลลาเจน หากไม่มีแล้ว . . . กรดอะมิโนจะไม่เชื่อมโยงกันจนเกิดเป็นคอลลาเจนได้
ประโยชน์อีกอย่างประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ต่อผิวหนังคือเป็นตัวช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ บนผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง และกระทั่งช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหารได้ นอกจากนั้น น้ำจากเชอร์รี่ดังกล่าวสามารถใช้เป็นยาน้ำป้วนปากที่ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพได้อีกด้วย
การบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่เป็นประจำจะช่วยทำให้ผิวของคุณจะได้รับการปกป้องจากตัวทำให้เกิดความตึงเครียด จากสารเคมี (Chemical Stressor) อย่างควันบุหรี่ มลพิษ และสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้
อีกทั้ง อะเซโรลาเชอร์รี่สามารถช่วยเร่งการฟื้นฟูซ่อมแซมบาดแผล แผลไฟไหม้ แผลเป็น และกระทั่งรอยแตกลายได้ด้วย
ไบโอฟลาโวนอยด์เป็นส่วนสำคัญในการชะลอการเสื่อมสภาพของผิวออกไป ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ยังช่วยต่อสู้กับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ริ้วรอยร่องตื่น รอยตีนกา รอยใต้โหนกแก้ม จุดด่างดำ รอยหมองค้ำ ฯลฯ
วิตามินซีที่มีอยู่มากใน Acerola Cherry ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากการถูกทำลายได้ เนื่องจากอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรทำให้ผิวหนังอ่อนแอลงและถูกทำลายในที่สุด อีกทั้ง อนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถนำไปสู่การเจ็บป่วยและโรคเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้
อะเซโรลาเชอร์รี่ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และบี 3 ซึ่งทั้งหมดช่วยทำให้ผิวสวยงามและเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น
• วิตามินเอช่วยให้ผิวหนังสามารถต่อสู้กับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าที่ทำให้เกิดผิวเสียได้
• ส่วนวิตามินบี — บี 1 บี 2 บี 3 — จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย
• วิตามิน บี 5 ใน อะเซโรล่าเชอร์รี่ ยังช่วยลดระดับคอสเลสเตอรอล ซึ่งในระยะยาวช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคหัวใจได้
หากคุณบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่เป็นประจำ จะพบว่าผิวของคุณจะขาวขึ้น กระจ่างใสขึ้น และมีโทนสีผิวดีขึ้นโดยไม่ทำให้โทนสีผิวผิดเพี้ยนไปและเกิดรอยตำหนิขึ้นมา อีกทั้ง ผิวที่เกิดจากการสร้างเม็ดสีมากผิดปกติอย่างกระและจุดเม็ดสีที่มีสาเหตุจากวัยจะมีสีที่สว่างขึ้นตามโทนสีผิวของคุณ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้ผิวพรรณของคุณมีสุขภาพดีขึ้นตามธรรมชาติ
ประโยชน์ต่อผิวหนังอีกประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ คือ สามารถปกป้องคุณจากรังสียูวีได้ โดยปริมาณวิตามินเอในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากรังสีจากดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายได้ เพราะหากคุณสัมผัสกับรังสียูวีมากจนเกินไปจะทำให้ผิวเสีย ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุดนั้นจะนำไปสู่มะเร็งผิวหนังที่ไม่มีต้องการให้เกิดขึ้นได้
สารอาหารต่างๆ มากมายในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยทำให้ผิวหนังของคุณอิ่มน้ำและคงความชุ่มชื้นไว้ได้ ไม่ว่าผิวของคุณจะเป็นประเภทใดก็ตามสุขภาพและสภาพของผิวหนังนั้นขึ้นกับความชุ่มชื้นเป็นหลัก หากผิวหนังไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอแล้ว กระบวนการต่างๆ ทางธรรมชาติของผิวอย่างการผลัดเซลล์ผิวผิดปกติไป และอาจนำไปสู่สภาพผิวที่อักเสบได้ ผิวหนังของคนเราทำหน้าที่เป็นกำแพงป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อต่างๆ หากผิวแห้งจนเกินไปจะเกิดการแตก ทำให้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังสามารถเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ นอกเหนือไปจากนี้ การทำให้ผิวอิ่มน้ำอยู่เสมอครับจะเป็นประโยชน์ต่อคุณในระยะยาว โดยเมื่อคุณมีอายุมากขึ้น การเสื่อมสภาพของผิวอาจน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเนื่องจากคุณได้เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวไว้ในช่วงที่อายุยังน้อยนั่นเอง
ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับผิวอย่างสิว โรคสะเก็ดเงิน และผิวหนังอักเสบนั้นมักเกิดจากผิวหนังขาดวิตามินซีทั้งสิ้น แต่ด้วยอะเซโรลาเชอร์รี่มีวิตามินซีตามธรรมชาติสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีนี้ตามปกติจะช่วยให้คุณไม่ต้องเจอกับปัญหาที่เกี่ยวกับผิวหนังเหล่านั้นอีกต่อไป วิตามินซียังมีประสิทธิภาพในการกำจัดสิวและแผลเป็น เพราะมันช่วยเร่งกระบวนการสมานแผลและการลดรอยแดงของร่างกาย และวิตามินซีนี้ยังช่วยลด Cortisol ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวอีกด้วย
รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ตอนเช้า หรือ ก่อนนอน