ปลายประสาทอักเสบ (Peripheral Neuropathy) เป็นภาวะหนึ่งของเส้นประสาทซึ่งทำหน้าที่รับส่งคำสั่งจากสมองและไขสันหลังไปยังอวัยวะต่างๆในร่างกายเกิดความเสียหายหรือเกิดโรคบางชนิด จนทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น อ่อนแรง ปวดและชาตามมือและเท้า หรืออวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แม้จะสามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานยา แต่ทางที่ดีควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุจะดีที่สุด
☀ โรคเบาหวาน คนที่เป็นโรคเบาหวานมานาน และไม่สามารถที่จะคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ จะทำให้เกิดอาการชาจากปลายประสาทอักเสบ
☀ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
☀ ขาดวิตามิน ได้แก่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 วิตามินอี และไนอาซิน เป็นส่วนสำคัญที่อาจทำให้เกิดปลายประสาทอักเสบหรือสุขภาพของระบบประสาทผิดปกติได้
☀ โรคแพ้ภูมิตัวเอง
☀ การติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิด โรคงูสวัด การติดเชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr Virus) ไวรัสตับอักเสบซี หรือเอชไอวี
☀ เนื้องอกและมะเร็ง อาจเกิดขึ้นที่เส้นประสาทหรือกดทับเส้นประสาทได้ นอกจากนี้ มะเร็งบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองภูมิคุ้มกันร่างกายสามารถทำให้เกิดโรคเส้นประสาทหลายเส้น (Polyneuropathy)
☀ โรคอื่น ๆ ได้แก่ โรคไต โรคตับ ความผิดปกติของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน
☀ พันธุกรรม
นอกจากนั้น ยังมีผู้ป่วยปลายประสาทอักเสบจำนวนมากที่ไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคได้ การวินิจฉัยปลายประสาทอักเสบ การวินิจฉัยปลายประสาทอักเสบ แพทย์จะเริ่มจากการสอบถามประวัติอาการที่เกิดขึ้น และตรวจร่างกายในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจมีการตรวจประสาทสัมผัส ความแข็งแรงและระบบประสาทอัตโนมัติรีเฟล็กซ์ของร่างกาย นอกจากนั้น แพทย์อาจให้ตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุ เช่น โรคเบาหวาน หรือการขาดวิตามิน บี 12
☀ รักษาและควบคุมโรคที่สาเหตุ เป็นวิธีป้องกันปลายประสาทอักเสบที่มีประสิทธิภาพ การรักษาและควบคุมโรคที่ทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นปลายประสาทอักเสบ เช่น โรคเบาหวาน ติดแอลกอฮอล์
☀ รับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชและโปรตีนที่มีไขมันต่ำให้มาก เพราะจะช่วยรักษาสุขภาพของเส้นประสาท รวมไปถึงป้องกันการขาดวิตามินบี 12 โดยรับประทานเนื้อวัว เนื้อปลา ไข่ อาหารไขมันต่ำและธัญพืชเสริม
☀ ออกกำลังกายเป็นประจำ ควรออกกำลังกายครั้งละอย่างน้อย 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์
☀ หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาท ได้แก่ กิจกรรมที่ทำซ้ำๆอยู่ในท่าทางจำกัด สัมผัสกับสารเคมีที่เป็นพิษ สูบบุหรี่และดื่มสุรามากเกินไป
การรักษาปลายประสาทอักเสบ การรักษาปลายประสาทอักเสบ มีเป้าหมายเพื่อรักษาโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุและบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น
การใช้ยารักษา
1. ยาบรรเทาอาการปวด ยาที่ซื้อใช้เอง เช่น ยาลดการอักเสบ (NSAIDs) ใช้บรรเทาอาการที่ไม่รุนแรง แต่หากมีอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาแก้ปวด นอกจากนั้น ยารักษาโรคที่มีส่วนประกอบของโอปิออยด์ (Opioid) เช่น ยาทรามาดอล (Tramadol) ยาออกซิโคโดน (Oxycodone) อาจทำให้ผู้ป่วยติดใช้ยาได้ โดยยาประเภทนี้จะสั่งโดยแพทย์เท่านั้นและจะใช้เมื่อการรักษาชนิดอื่นไม่ได้ผล
2. ยาต้านชัก เช่น ยากาบาเพนติน (Gabapentin) และยาพรีกาบาลิน (Pregabalin) ถูกพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการรักษาโรคลมชักหรือโรคลมบ้าหมู โดยอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น เวียนศีรษะ ง่วงซึม เป็นต้น
3. ยาใช้เฉพาะที่ เช่น ยาครีมแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งจะช่วยลดอาการที่เกิดจากประสาทส่วนปลายอักเสบ ซึ่งการใช้ยาครีมอาจทำให้ผิวหนังแสบและเกิดการระคายเคือง แต่อาการจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หรือ ยาลิโดเคน (Lidocaine) แบบแผ่นแปะ เป็นอีกทางเลือกในการรักษาที่ช่วยลดอาการปวดโดยแปะแผ่นแปะลงบนผิวหนังบริเวณที่มีอาการ แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ง่วงซึม เวียนศีรษะ ชา เป็นต้น
4. ยาแก้ซึมเศร้า ยากลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic) เช่น ยาอะมิทริปไทลีน (Amitriptyline) ยาด็อกเซปิน (Doxepin) ยานอร์ทริปไทลีน (Nortriptyline) นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงานของสารเคมีในสมองและไขสันหลังที่ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวด นอกจากนั้น ยังมียาที่นำมาใช้รักษาอาการเจ็บปวดของปลายประสาทอักเสบที่มีสาเหตุมากจากโรคเบาหวาน เช่น ยาเอสเอ็นอาร์ไอ (Serotonin and Norepinephrine Reuptake Inhibitor: SNRI) และยาเวนลาฟาซีน (Venlafaxine) แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปากแห้ง คลื่นไส้ ง่วงซึม เวียนศีรษะเบื่ออาหารและท้องผูก
ภาวะแทรกซ้อนของโรคปลายประสาทอักเสบ
ภาวะแทรกซ้อนของปลายประสาทอักเสบ ภาวะแทรกซ้อนของปลายประสาทอักเสบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
● เกิดบาดแผลที่ผิวหนังและแผลไหม้ โดยผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงหรืออาการเจ็บบริเวณที่เกิดบาดแผลดังกล่าวเนื่องจากอาการชา
● เกิดการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นเท้าหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่ไร้ความรู้สึกจากปลายประสาทอักเสบอาจเกิดการบาดเจ็บโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัวได้ ดังนั้น ผู้ป่วยควรตรวจสอบบริเวณดังกล่าวอยู่เสมอและรักษาแผลหรือการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นก่อนจะนำไปสู่การติดเชื้อ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
● หกล้ม เพราะเมื่อร่างกายอ่อนแอและไร้ความรู้สึกของอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้ผู้ป่วยหกล้มได้ง่าย