แอล-กลูตาไธโอน (L-glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย
ในทางการแพทย์พบว่ามีการนำกลูตาไธโอนมาทดลองใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการอนุมัติข้อบ่งใช้จากองค์การอาหารและยา เช่น ภาวะเป็นหมันในเพศชาย ปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก วิธีการรักษามักทำโดยการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งที่น่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการฉีดกลูตาไธโอนนั้นมีสีผิวที่ขาวขึ้น เนื่องมาจากกลูตาไธโอนสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ได้ และส่งผลให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้พยายามนำผลข้างเคียงของยามาใช้ในการทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นการนำยามาใช้ในทางที่ผิดอีกรูปแบบหนึ่ง โดยในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาที่น่าเชื่อถือยืนยันหรือรับรองประสิทธิภาพและประโยชน์ของกลูตาไธโอนในการทำให้ผิวขาวได้อย่างแท้จริง จึงไม่น่าแปลกใจที่กลูตาไธโอนไม่ผ่านการรับรองข้อบ่งใช้โดยองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับทำให้ผิวขาว
✿ อยู่ในรูปยาเม็ดหรือผงละลายน้ำสำหรับรับประทาน ซึ่งกลูตาไธโอนนี้สามารถถูกทำลายได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์ ดังนั้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการรับประทานกลูตาไธโอนในรูปแบบของยารับประทานนั้นแทบจะไม่มีเลย ที่ผ่านมาจึงพบว่ามีผู้พยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนการรับประทานกันมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่ากลูตาไธโอนชนิดฉีดนั้นมีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวได้ดีกว่าและเห็นผลเร็วกว่ากลูตาไธโอนชนิดรับประทาน
✿ ประเด็นสำคัญของการใช้ยาฉีดกลูตาไธโอนโดยเฉพาะการฉีดเข้าหลอดเลือดดำนั้น คือ ความปลอดภัยจากการฉีดยา เนื่องจากผิวที่ขาวขึ้นจากกลูตาไธโอนนั้นเป็นผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น หากต้องการให้ผลคงอยู่ไปตลอดจำเป็นต้องได้รับการฉีดซ้ำเป็นระยะ ทำให้มีการสะสมยาในร่างกายมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้ นอกจากนี้การฉีดยาจำเป็นต้องกระทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการให้ยา เช่น การฉีดยาในอัตราที่เร็วเกินไป การติดเชื้อในกระแสเลือดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาดการเกิดฟองอากาศอุดตันหลอดเลือดเนื่องจากผู้ฉีดยาไล่ฟองอากาศในเข็มฉีดยาไม่หมด เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ที่ได้รับยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
✿ ถึงแม้ว่ากลูตาไธโอนเป็นสารที่ร่างกายสร้างได้เองตามธรรมชาติ แต่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ กลูตาไธโอนชนิดฉีดหรือชนิดรับประทานเพื่อให้ผิวขาวใสนั้นยังไม่มีการพิสูจน์ผลที่ชัดเจน ความปลอดภัยในการใช้ยาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง และพึงระลึกไว้เสมอว่า “ ไม่มียาชนิดใดในโลกที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์ ” ดังนั้นก่อนการใช้ยาใดๆ ก็ตามควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเสียก่อนเพื่อความปลอดภัยของตนเอง
❀ แอล-กลูตาไธโอน (L-Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกาย สามารถพบได้ทุกเซลล์ โดยจะพบในไมโตคอนเดรีย นิวเคลียส และเพอรอกซีโซม ซึ่งกลูต้าไธโอนจะถูกสร้างขึ้นภายในเซลล์และถูกนำส่งออกมานอกเซลล์โดยอาศัยตัวพามาเก็บสำรองไว้ที่ตับ เซลล์ประเภทอื่นๆที่พบสารนี้มาก เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว ปอด ไต ตับอ่อน เลนส์ จะพบน้อยในพลาสมา
❀ แอล-กลูตาไธโอนเป็นสารประเภท Tripeptide ประกอบไปด้วยกรดอะมิโนสามชนิด ได้แก่ Cysteine , Glycine , Glutamic acid
โดยหน้าที่หลักของสารตัวนี้มีสามประการ คือ
❀ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกำจัดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย
❀ ช่วยกำจัดสารพิษในร่างกาย เช่น สารเคมี หรือยา
❀ มีส่วนช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับภาวะเสื่อมของสมอง เช่น อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน
❀ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ทั้งไวรัส แบคทีเรีย และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งเซลล์มะเร็ง
❀ ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) สำหรับการสังเคราะห์เม็ดสี เมลานิน (Melanin) และกระตุ้นให้สร้าง ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) ที่เป็นเซลล์เม็ดสีอ่อนมากกว่า ยูเมลานิน (Eumelanin) ที่เป็นเซลล์เม็ดสีเข้ม ซึ่งอาจทำให้สีผิวแลดูจางลง
ถึงทุกวันนี้ยังไม่พบผลข้างเคียงหรือปฏิกริยาของยากลูตาไธโอนชนิดรับประทาน ในขนาดสูงยังไม่มีรายงานว่าจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในทุกๆส่วนของร่างกาย แต่ผลข้างเคียงที่น่ากลัวคือประเภทแบบฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ มีโอกาสที่จะแพ้ได้ อาจจะไม่ได้แพ้สารกลูตาไธโอน แต่แพ้สารฆ่าเชื้อ สารกันเสีย หรือสารปนเปื้อน โดยเฉพาะยาที่ไม่ทราบแหล่งที่มาหรือแหล่งผลิต ดังนั้นการฉีดเข้าหลอดเลือดต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัย