หน้าหลัก     ปัญหาสุขภาพ     สาระน่ารู้

Millet Extract (สารสกัดจากมิลเลท)

     Millet Extract  จัดเป็นพืชตระกูลหญ้าเช่นเดียวกับข้าวโพด เจริญเติบโตได้ง่าย  ลักษณะลำต้นตั้งตรง มีข้อเห็นได้ชัด  ใบออกสลับกัน  ปลายใบแหลมคม ออกดอกเป็นช่อยาวที่ปลายยอด ผลทรงกลมอยู่ในช่อดอกมีขนาดเท่าเมล็ดพริกไทยและมีเปลือกแข็งห่อหุ้มอีกชั้น  เมื่อแก่จะมีเนื้อแข็งสีขาวขุ่นโผล่ออกมาจากเปลือก ข้าวฟ่างมีหลายชนิดบางชนิดนิยมนำมาเป็นอาหารสำหรับมนุษย์ ทำน้ำตาล  หรือสามารถนำมาหมักเบียร์ได้ แต่บางชนิดก็นิยมนำมาเลี้ยงสัตว์ สำหรับประเทศไทยนิยมปลูกข้าวฟ่างเมล็ด และสามารถปลูกข้าวฟ่างได้เกือบทุกภาคของประเทศ ยกเว้นภาคใต้

มีประโยชน์ต่อสุขภาพของMillet Extract


  มีสารต้านอนุมูลอิสระ

     ข้าวฟ่างทุกชนิดอุดมไปด้วยโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการเกิดโรคร้าย เช่น โรคหัวใจ  โรคมะเร็ง นอกจากนี้ข้าวฟ่างยังมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และต่อสู้กับไวรัสได้ด้วย

  ควบคุมโรคเบาหวาน

     ข้าวฟ่างมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำและอุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ อีกทั้งยังทำให้ร่างกายควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น ข้าวฟ่างจึงเหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการจัดการกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ถือว่า ข้าวฟ่างสามง่าม (Finger millet) เป็นสุดยอดอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ตัวรับอินซูลินทำงานได้มีประสิทธิผลมากขึ้นและลดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงยังสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคเบาหวานได้มากถึง 30 %

 ดีต่อหัวใจ

     ข้าวฟ่างเป็นแหล่งของแมกนีเซียมซึ่งสามารถช่วยลดความดันโลหิตและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงตีบแข็งเพราะมีไขมันสะสมที่เส้นเลือด ข้าวฟ่างยังเป็นแหล่งของธาตุโพแทสเซียมซึ่งดีต่อการทำงานของหัวใจ ทั้งนี้มีงานวิจัยพบว่า ข้าวฟ่างสามง่ามสามารถช่วยให้ระดับของคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) เพิ่มขึ้น

  ปกป้องคุณจากโรคมะเร็ง

     นักวิจัยพบว่า สารโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระฟีโนลิกบางประเภทที่พบได้ในข้าวฟ่างอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งหลายชนิดทั้งในระยะเริ่มต้นและระยะลุกลาม เช่น มะเร็งเต้านมและโรคมะเร็งลำไส้  นอกจากนี้สาร Anti-tumorigenic ที่พบในข้าวฟ่างสามง่ามยังช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวซีเอ็มแอล (Chronic Myeloid Leukemia – CML ) ซึ่งเป็นมะเร็งเม็ดเลือดชนิดที่พบได้น้อย ได้อีกด้วย 

  ทำให้กระดูกแข็งแรง

     แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่ช่วยสร้างกระดูก หากขาดแคลเซียม กระดูกจะเปราะและอ่อนแอ และด้วยความที่ร่างกายไม่สามารถผลิตแคลเซียมได้จึงเราควรได้รับแร่ธาตุชนิดนี้จากอาหาร  ข้าวฟ่างสามง่ามมีแคลเซียมมากถึง 344 มิลลิกรัมซึ่งมากกว่าปริมาณแคลเซียมที่พบในนม อีกทั้งยังอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียมซึ่งมีคุณสมบัติช่วยรักษากระดูกให้แข็งแรงด้วย บางงานวิจัยบังพบว่า ธาตุแมกนีเซียมอาจลดความเสี่ยงที่กระดูกจะแตกหักและลดโอกาสที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนได้  

  ช่วยย่อยอาหาร

     ข้าวฟ่างมีแป้งที่ทนต่อการย่อย มีไฟเบอร์ทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้ปริมาณสูงมาก การรับประทานข้าวฟ่างจึงสามารถควบคุมกระบวนการย่อยอาหารและป้องกันไม่ให้อาหารในทางเดินอาหารเคลื่อนเร็ว หรือช้าเกินไปได้  อีกทั้งข้าวฟ่างเป็นธัญพืชที่ปลอดกลูเตนจึงช่วยลดปัญหาการแพ้กลูเตนได้

  ป้องกันนิ่วในไต

     ไฟเบอร์ในข้าวฟ่างยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตได้ เนื่องจากอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้สามารถเร่งการส่งอาหารที่ยังไม่ย่อยไปสู่ลำไส้และลดการหลั่งของกรดน้ำดี ซึ่งทำให้เกิดนิ่วในไตได้  มีงานวิจัยระยะยาวพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนิ่วในไตลดลง 17 % ซึ่งมากกว่าคนที่ไม่ได้รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์

  ช่วยควบคุมน้ำหนัก

     ธัญพืชเต็มเมล็ดที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์มักติดโผอยู่ในอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักรวมทั้งข้าวฟ่างด้วย เนื่องจากจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นเป็นผลให้ไม่รับประทานจุกจิกนั่นเอง  นอกจากนี้ความสามารถในการลดคอเลสเตอรอลและการช่วยให้ตัวรับอินซูลินทำงานได้มีประสิทธิผลมากขึ้นของข้าวฟ่างก็สามารถทำให้ควบคุมน้ำหนักได้สำเร็จเช่นกัน

สรรพคุณทางยาของสารสกัดจากมิลเลท 


ต้นข้าวฟ่าง : นำมาต้มกับน้ำใช้ดื่มเป็นยาระบายขับปัสสาวะ


เมล็ดข้าวฟ่าง :  ช่วยให้ระบบการย่อยอาหาร เช่น ลำไส้ กระเพาะอาหารทำงานได้ดี ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยรักษาอาการของโรคอหิวาตกโรค และโรคบิด 


รากแห้ง :  ช่วยรักษาอาการของระบบประสาทที่ผู้ป่วยมีอาการกระวนกระวาย ช่วยรักษาอาการไอ และมีอาการหอบร่วมด้วย 


รากแห้ง :  ช่วยรักษาอาการปวดตรงบริเวณกระเพาะอาหาร หรืออาการปวดตรงบริเวณหน้าอก 


รากแห้ง :  ช่วยรักษาอาการปัสสาวะติดขัด ช่วยให้คลอดบุตรได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยรักษาอาการตกเลือดหลังคลอดบุตรได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการรับประทาน

BACK