วิตามินรวม คือวิตามินเสริมที่ประกอบด้วยวิตามินหลากหลายชนิดประกอบด้วย วิตามิน เอ บี ซี ดี อี แร่ธาตุและอื่น ๆ ซึ่งพบได้ในอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน โดยจะนำมาใช้ในกรณีที่อาจได้รับวิตามินจากอาหารไม่เพียงพอ หรือเพื่อรักษาภาวะขาดวิตามินของร่างกายที่อาจเกิดจากอาการป่วยบางชนิด
ปริมาณการใช้วิตามินรวม
ผลิตภัณฑ์วิตามินรวมมีหลากหลายสูตร หลากหลายชนิดให้เลือกใช้ ทำให้อาจมีสัดส่วนของวิตามินแตกต่างกันไป นอกจากนี้บางชนิดยังมีส่วนผสมของแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม และสังกะสี ดังนั้นสูตรของวิตามินรวม ปริมาณ และระยะเวลาในการใช้จึงต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลและขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
การใช้วิตามินรวม
1. รับประทานวิตามินรวมตามปริมาณและระยะเวลาที่แพทย์กำหนด และปฏิบัติตามฉลากกำกับการใช้อย่างเคร่งครัด
2. รับประทานระหว่างมื้ออาหารหรือรับประทานพร้อมมื้ออาหารก็ได้ แต่หากมีอาการอาหารไม่ย่อยก็ควรรับประทานพร้อมมื้ออาหารเพื่อลดอาการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
3. ควรรับประทานวิตามินบีรวมร่วมกับน้ำเปล่า 1 แก้ว อย่ารับประทานร่วมกับนมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม รวมทั้งแคลเซียมเสริม หรือยาลดกรดที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากแคลเซียมอาจส่งผลให้ร่างกายดูดซึมส่วนผสมบางชนิดในวิตามินรวมได้ไม่ดี
4. หากเป็นวิตามินรวมชนิดเคี้ยวได้ ควรเคี้ยวก่อนกลืน
5. วิตามินรวมชนิดน้ำควรใช้อุปกรณ์วัดปริมาณการใช้แบบเฉพาะเจาะจง หากไม่มี สามารถสอบถามกับเภสัชกร
6. กรณีลืมรับประทาน ควรรับประทานทันทีที่นึกได้ แต่หากใกล้ถึงเวลาแล้วให้ข้ามไปรับประทานครั้งต่อไปได้เลย อย่าเพิ่มปริมาณการใช้เป็น 2 เท่า
7. ห้ามรับประทานวิตามินรวมมากกว่า 1 ชนิดในคราวเดียวกัน ยกเว้นเมื่อเป็นคำสั่งจากแพทย์ เพราะอาจทำให้ได้รับวิตามินในปริมาณมากเกินจนเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงตามมาได้
8. หากอยู่ในภาวะที่ต้องรับประทานอาหารโซเดียมต่ำควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้วิตามินหรืออาหารเสริมแร่ธาตุใด ๆ รวมทั้งวิตามินรวม
9. อย่าเริ่มใช้ หยุดการใช้ หรือเปลี่ยนปริมาณการรับประทานวิตามินเองโดยพลการ
10. หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ ควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
11. เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ห่างจากความชื้นและความร้อน และระวังอย่าให้วิตามินรวมชนิดน้ำแข็งตัว
รูปแบบของวิตามินรวม
✿ ยารับประทานประเภทเม็ด แคปซูล แคปซูลนิ่ม
✿ ยาเม็ดและยาผงที่ต้องละลายน้ำก่อนรับประทาน
✿ ยาน้ำเชือมสำหรับเด็ก
✿ ยาฉีดที่ต้องให้ทางหลอดเลือดดำ
วิตามินรวมเหมาะกับใคร
ผลการศึกษาวิจัยหลายชิ้นบ่งบอกว่า วิตามินรวมอาจจะไม่ได้ช่วยบำรุงสุขภาพให้ใครต่อใครอย่างที่คนส่วนใหญ่คิดกัน เนื่องจากวิตามินรวมมีประโยชน์เฉพาะกับผู้คนบางกลุ่มเท่านั้น อย่างเช่น คนที่มักทานแต่อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ คนที่มีปัญหาในเรื่องการย่อยอาหาร (เช่น คนที่ได้รับการผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหาร หรือผู้ที่เป็นโรคทางเดินอาหารอักเสบ) และผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มจะขาดวิตามินและเกลือแร่บางอย่าง
หน่วยงานด้านสาธารณสุขอย่างสถาบันสุขภาพแห่งชาติในอเมริกา แนะนำให้ผู้หญิงที่อยากจะตั้งครรภ์รับประทานกรดโฟลิคขนาด 400 ไมโครกรัมทุกวัน (ไม่ว่าจะเป็นอาหารจริงๆหรืออาหารเสริมก็ตาม) เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความพิการตั้งแต่กำเนิด ที่เหลือนอกนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่กำลังวางแผนจะตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์แล้ว หรือผู้ที่ขาดสารอาหารบางอย่าง ก็อาจไม่จำเป็นต้องกินวิตามินรวม
ซึ่งการขาดสารอาหารในผู้คนส่วนใหญ่นั้น มักจะขาดธาตุเหล็ก แคลเซี่ยม วิตามินบี 12 และวิตามินดี ซึ่งถ้าใครขาดสารอาหารเหล่านี้ก็จะมีอาการเหนื่อยอ่อน ซึ่งเป็นอาการที่ไม่ชัดเจน ฉะนั้น ถ้าใครมีปัญหาเรื่องความอ่อนเพลีย ก็ควรขอให้หมอตรวจเลือดดูว่าเป็นเพราะขาดสารอาหารพวกนี้จริงๆ หรือเปล่า
ผลข้างเคียงจากการใช้วิตามินรวม
การรับประทานวิตามินรวมตามปริมาณที่แนะนำมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงใด ๆ ผลข้างเคียงชนิดไม่รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ อาหารไม่ย่อย ปวดศีรษะ รู้สึกถึงรสชาติผิดปกติหรือไม่พึงประสงค์ในปาก ทั้งนี้หากพบอาการที่แสดงถึงการแพ้อันรุนแรงต่อไปนี้ควรต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
มีผื่นลมพิษ
หายใจลำบาก
อาการบวมที่ใบหน้า ลำคอ ปาก ริมฝีปาก หรือลิ้น
สามารถกินมัลติวิตามินหลังอาหารกลางวันไม่เกิน 30 นาที เพื่อลดอาหารระคายเคืองกระเพาะอาหารจากวิตามินบางตัว และเพื่อให้ไขมันจากอาหารมื้อใหญ่ในตอนเที่ยงที่กินเข้าไปช่วยเป็นตัวละลายให้ร่างกายดูดซึมวิตามิน แร่ธาตุได้ดีขึ้นด้วย
ข้อควรระวังในการใช้วิตามินรวม
แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับโรคหรือภาวะที่กำลังเผชิญอยู่ เพราะอาจได้รับผลกระทบจากการรับประทานวิตามินรวม โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ กำลังวางแผนตั้งครรภ์ หรือหญิงที่ต้องให้นมบุตร รวมถึงผู้ที่เคยมีอาการแพ้ยา อาหาร หรือสารใด ๆ